[SF TVXQ] Lollipop Love [Yaoi] - [SF TVXQ] Lollipop Love [Yaoi] นิยาย [SF TVXQ] Lollipop Love [Yaoi] : Dek-D.com - Writer

    [SF TVXQ] Lollipop Love [Yaoi]

    ฟิคเพื่อสุขภาพ เรตเทเลทับบี้

    ผู้เข้าชมรวม

    4,109

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    4.1K

    ความคิดเห็น


    19

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 มี.ค. 53 / 23:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผมเปิดร้านที่ย่านการค้านี้มาสามเดือนแล้ว ก็อย่างว่าล่ะนะ ร้านใหม่ อุปกรณ์ใหม่
      คนหน้าใหม่ และเจ้าของร้านใหม่! มันก็ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกันบ้าง


      ผมก็พยายามทำใจกับเรื่องนี้พอสมควร ยอมรับตรงๆ ก็ได้ว่าเดือนแรกของการตั้งร้าน
      ถ้าไม่นับคุณนายแม่ของผมที่ถือเคล็ดถือโชคมาเป็นลูกค้าคนแรกแล้วละก็...


      จำนวนของลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านก็เท่ากับศูนย์


      ...ครับ คุณก็คิดเหมือนผมใช่ไหม ฤกษ์ดีของคุณนายแม่ไม่ช่วยอะไรเลย


      ...อืม อนุญาตให้คิดดังๆ ได้อีกหน่อย ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ ผมก็ถูกผู้ช่วย
      หน้าปลาโลมาพูดกรอกหูอยู่ทุกวันว่า ให้ปิดร้านซะเถอะ! ทำไปก็มีแต่ตัวแดง ค่าน้ำ
      ค่าไฟ ค่าเงินเดือนผู้ช่วย ค่าเสื่อมอุปกรณ์  บลา บลา บลา


      โอ๊ย ก็ถ้าร้านผมเป็นแผงลอยแบกะดินขายหนังโป๊ เจอภาวะเงียบเหงาเป็นสุญญากาศ
      อย่างนี้เข้า ไม่ต้องถึงเดือนหนึ่งหรอกครับ แค่สัก 3 วัน ผมก็ปิดร้านไปนอนเกาพุง
      นับดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารเล่นแล้ว


      แต่ความเป็นจริงที่สุดแสนจะโหดร้ายในชีวิตก็คือ ร้านผมลงทุนไปด้วยเงินที่มีเลขศูนย์
      ต่อแถวตอนเรียงหนึ่งหลังเลขห้าเสียครึ่งโหล โชคดีมากที่เจ้าหนี้เงินกู้ก้อนนี้ไม่ใช่
      ธนาคารและมาเฟียใจโหด แต่...แต่ ผมละเกลียดคำนี้จริงๆ ให้ตาย แต่โชคร้ายในโชคดี
      นั้นคือการที่เจ้าหนี้เงินกู้ดันเป็นคุณนายแม่ ผู้แสนจะรู้จักตับไตไส้พุงทุกขดของผม
      เป็นอย่างดีเยี่ยม

       
      ครับ ท่านไม่ได้ทวงเงินต้น ไม่ได้ทวงดอก ไม่ได้ขอการผ่อนชำระค่างวดแต่อย่างใด
      แต่แม่ผมมีวิธีการที่เหนือชั้นกว่ากันมาก


      คุณรู้จักสุภาษิตที่ว่า ‘ได้ทีขี่แพะไล่’ ไหมครับ?


      ...นั่นล่ะคือสิ่งที่แม่ทำกับผม ลูกชายคนเดียวของตระกูล


      ไม่มีเสียละ ที่จะมาบ่นถึงเงินที่ให้ไป แม่ก็รู้เท่าๆ กับที่ผมรู้ล่ะว่า เงินแค่นั้นจิ๊บๆ สำหรับ
      แม่ แต่ท่านฉวยโอกาสที่เป็นผู้หยิบยื่นเงินก้อนนี้ให้กับผม ด้วยการรำพึงรำพันถึงความ
      ทุกข์ยากในการเลี้ยงดูผมตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นการคัดตัวแม่นมผู้แสน
      ชำนิชำนาญ การสรรหาอาหารที่ถูกหลักโภชนาการจากเชฟกระทะเหล็ก การเลือก
      โรงเรียนไฮโซทั้งหลายให้ผมได้มีโอกาสเข้าไปศึกษา พร้อมๆ กับที่กระดิกแหวนเพชร
      เม็ดเท่าไข่ไก่ไปมาให้แสบลูกกะตาเล่น


      ...แค่นี้มีอะไรที่น่าหนักใจตรงไหน คุณอาจจะคิดอย่างนั้น


      ครับ ถ้าแค่นั้น ผมก็ปิดร้านเปิดตูดหนีไปนานนมแล้ว ไม่มานั่งทำหน้าเซ็งอย่างนี้หรอก
      ส่วนที่เด็ดที่สุดมันอยู่ที่ตอนท้ายประโยคครับ


      คุณแม่ท่านจะลงท้ายเหมือนกันทุกรอบ เอียงหน้าทำมุม 45 องศา ปล่อยน้ำตาลงมา
      สองแหมะ ยกผ้าเช็ดหน้าฉลุลูกไม้ฝรั่งเศสแตะซับหางตา กระดิกนิ้วโชว์แหวนเพชร
      แยงตาอีกรอบหนึ่ง แล้วร้องเสียงอ่อนเสียงหวานจนขนแขนแสตนอัพว่า
      “ลูกมินของแม่ จะต้องหาน้องมาให้แม่เลี้ยงได้แล้วนะคะ”     


      ถ้าผมปิดร้านหนี นอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็เข้าทางคุณนายแม่พอดีสิครับ คราวนี้ใครต่อใคร
      ที่คุณแม่อยากจะได้มาเป็นโรงงานผลิตลิตเติ้ลชางมิน ได้มาเดินสวนสนามในบ้าน
      กันสนุกแน่


      ดังนั้นเพื่อความสงบสุขในชีวิตของคุณพ่อและผม ผมเสียสละที่จะมานั่งอย่างเหี่ยวเฉา
      ที่ร้านอันแสนเงียบเหงาของผมก็ได้


      โอ๊ะ! แต่นั่นน่ะ เป็นเรื่องของเดือนแรกในการตั้งร้านเท่านั้นนะครับ เรื่องต่อจากนั้นน่ะ
      มันหนังคนละม้วนกันเลย


      ผมคงไม่ได้เล่าให้คุณฟังแน่ๆ ว่าผมมีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคน เขาเป็นครีเอทีฟบริษัท
      โฆษณาครับ ถึงหมอนี่จะไม่ได้โด่งดังคับฟ้าหรือว่าเป็นตัวเป้งในแวดวงโฆษณา
      แต่ก็ถือว่ามีกึ๋นพอตัวทีเดียว เขาบอกผมว่าบางครั้งการโฆษณาก็เป็นสิ่งจำเป็น
      สำหรับชีวิต


      “โฆษณาร้านกู” กรุณาอย่าตกใจไป ผมกับเพื่อนคนนี้สนิทกันมาก ดังนั้นเรื่องกูมึงเป็น
      ธรรมดาของลูกผู้ชายครับ ยิ่งสนิทกันมากก็ยิ่งด่ากันได้มันปากมากเท่านั้น


      “เชี่ย ให้โฆษณา ไอ้จุนซูเจ็นเบ๊ร้านมึงหรือไง” จุนซูที่เพื่อนผมพูดถึง คือผู้ช่วยร้านผม
      เองครับ ก็หนุ่มบ้องแบ๊วหน้าปลาโลมาที่พูดกรอกหูให้ผมปิดร้านอยู่ทุกวันนั่นล่ะ
      ความจริงมันก็น่ารักนะครับ อัธยาศัยดี หัวไว สอนให้ทำอะไรก็ทำได้เร็ว แถมยังขยัน
      ครวญเพลงเพราะๆ ให้ผมฟังด้วย เสียอย่างเดียวมันพูดอะไรไม่ค่อยคิด ทำเอาคนฟัง
      วงแตกบ่อยๆ ส่วนตำแหน่งเจ็นเบ๊ ก็ย่อมาจากชื่อเต็มว่า เจ็นเนอรั่ลเบ๊ครับ คือทำ
      ทุกอย่างที่ผมสั่งและรวมถึงเป็นสปายให้กับคุณนายแม่บังเกิดเกล้าของผมด้วย
      รับเงินสองทางอย่างนี้ จุนซูไม่อู้ฟู่ตอนนี้จะให้รวยไม่รู้เรื่องตอนไหน


      “เออ โฆษณาร้านกู เดี๋ยวก็โดนจับหรอก ร้านกูโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่น
      อะไรไม่ได้ทั้งนั้นโว๊ย ผิดกฎหมาย”


      “กูไม่ได้บอกให้มึงจัดโปรโมชั่นแบบมือถือ แล้วก็ไม่ต้องฮาร์ดเซลล์แบบพนักงานขาย
      ประกันชีวิตด้วย แค่หาอะไรที่มันจรรโลงใจ มีชีวิตชีวามาติดหน้าร้านหน่อยสิวะ กระจก
      โล่งๆ อย่างนี้ นึกยังไงถึงเสือกเลือกสีร้านเป็นแดงไวน์ วางเก้าอี้หลุยส์
      แล้วห้อยแชนเดอเลียร์ระย้า แม่งใครที่ไหนจะกล้าเข้าร้านมึงวะ”


        “รสนิยมแม่กู” ครับใช่ ผมพูดประโยคนี้ไปพร้อมกับกัดฟันไปกรอดๆ ในเมื่อร้านมันเกิด
      จากเงินแม่ ร้านมันตั้งอยู่ชั้นล่างของคอนโดมิเนียมของแม่ ทุกอย่างก็เลยต้องแล้วแต่
      แม่บัญชาครับ


      “มึงจะทำอะไรให้ลูกค้าเข้าร้านกูสักคนก็ทำเหอะ แต่ขอทีอย่าเอาไอ้โคมไฟกับเก้าอี้นี่
      ออก ไม่งั้นแม่เอากูตาย”


      มิกกี้มันส่ายหัวแล้วก็เดินโคลงตัวแบบเด็กเมายาไปรอบๆ ร้าน


      ครับ? อ๋อใช่ ผมลืมเล่าอีกแล้วใช่ไหม เพื่อนสนิทผมชื่อยูชอนครับ ปาร์คยูชอน
      ลูกเกาหลีแท้แต่ดันผ่ามีชื่อภาษาปะกิต เพราะมันทำงานในบริษัทโฆษณา ก็เลยต้องมี
      ชื่ออินเตอร์สมกับอาชีพมันหน่อย ส่วนที่เดินโซเซเหมือนเมายา มันเป็นแค่อาการติสต์
      ประทับทรงครับ เดินตรงๆ ไม่ได้ เดี๋ยวความคิดสร้างสรรค์จะไม่แล่น ส่วนจะโซเซเพราะ
      เมาโซจูด้วยไหมนั้น อันนี้ต้องถามมันเองครับ


      มันเดินไปส่องโน่น นี่ นั่น ทั่วร้าน แล้วสุดท้ายก็กลับมาจ้องหน้าผม แล้วร้อง “ยูเรก้า!”


      บ้าไปแล้วเหอะปาร์คยูชอน!


      “หน้าเอ็งเลยชางมิน หน้าเอ็ง”


      “หน้ากูมีอะไรติดอยู่ไม่ทราบ มีตาที่สามโผล่กลางหน้าผากหรือไง?”


      มิกกี้ไม่ตอบ มันหัวเราะหึหึ แล้วก็ดึงแว่นผมออก จากนั้นก็ขยี้ผมที่เรียบนิ้ง จัดทรงไม่
      กระดิกสักเส้นของผมจนยุ่งเหยิง แล้วก็หัวเราะอีกสามหึ


      บอกแล้วว่ามันบ้า!


      “เอารูปเอ็งตอนถอดแว่น ไปแปะหน้าร้านนี่แหละวะ เอ๊ะหรือว่าใส่แว่นดี” ไม่ทันจะขาดคำ
      เลย แว่นลูกรักกรอบดำอันแสนเรียบร้อยของผม ก็ถูกดันกลับมาที่สันจมูกอีกรอบ
      หมอนี่เอียงคอ เมียงๆ มองๆ แล้วก็ดีดนิ้วดังเปาะ


      “ใส่แว่น อย่างนี้เลยมึง หลังจากแปะรูปนี้ที่หน้าร้าน ถ้าไม่มีใครเข้ามา รับรองกูให้เหยียบ”


      เขาว่ากันว่าความบ้ามันเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่งครับ ไอ้มิกกี้มันแพร่เชื้อนี้มาและผมก็เผลอ
      รับเชื้อเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ก็เลยเผลอทำตามที่มันแนะ


      อืมมม และเหตุผลหลักอีกข้อ รู้แล้วเหยียบไว้นะครับ อย่าไปบอกคุณนายแม่ของผมเด็ด
      ขาด ผมได้ยินคุณนายเธอบอกกับคุณพ่อว่า ถ้าร้านผมยังเงียบเหงาแบบนี้อีกสักเดือน
      เธอจะให้ผมปิดร้านนี่เสียที แล้วกลับไปช่วยคุมกิจการมหาศาลบานตะไทของคุณพ่อ


      เอ่อ ผมรู้เรื่องนี้ได้ยังไงหรือครับ ก็ไม่เห็นจะยาก จุนซูนั่นล่ะที่คาบมาบอกผม


      เหอะ ผมสู้อุตส่าห์ร่ำเรียนมาหลายปี ให้ไปนั่งคุมเครือโรงแรมอะไรนั่น มันจะคุ้มไหมกับ
      ที่เรียนมา ดังนั้นอะไรลอยมา ผมก็คว้าเอาไว้ก่อนละครับ หวังเผื่อฟลุ้กว่ามันจะทำให้
      ร้านเงียบๆ ของผมมีคนเข้ามาบ้าง ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งตบยุงอยู่อย่างนี้


      และผลของการแปะรูปผมที่หน้าร้านหรือครับ


      อ่า...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มิกกี้มันมีกึ๋นจริง แค่ผมแปะรูปนี้ที่กระจกตอนเย็นก่อนปิดร้าน
      เช้าวันรุ่งขึ้น ยังไม่ทันจะเตรียมของเลย ก็มีลูกค้าเดินโต๋เต๋เข้ามาในร้านแล้ว


      เขาเป็นลูกค้าคนแรกของผมครับ ผมเลยจำหน้าได้แม่นเป็นพิเศษ และยังไม่รวมว่าเขา
      อยู่ในชุดเสื้อไหมพรมสีขาว มีฮู้ดที่ขลิบขนกระต่ายปุยๆ ล้อมรอบใบหน้าน่ารักเหมือน
      เด็กผู้หญิงนั่นด้วย


      คุณลูกค้าคนนี้เดินทื่อๆ เข้ามาจ้องหน้าผม สลับกับรูปที่ติดอยู่หน้าร้าน แล้วจากนั้นก็ยิ้ม
      หวานโชว์ฟันขาวๆ ตัดกับริมฝีปากสีแดงสดดังฉับ เขาร้องว่า
      “ว้าว เหมือนรูปหน้าร้านจริงๆ ด้วย”


      ...อย่าแปลกใจไปเลยว่าเขาหมายความว่ายังไง เพราะจนแล้วจนรอด จนบัดนี้ผมก็ยังไม่
      เข้าใจสิ่งที่เขาพูดสักอย่าง รอบตัวเขามีแต่เรื่องแปลกๆ มีความคิดแปลกๆ มีบรรยากาศ
      แปลกๆ


      แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งสำหรับการเจอกับผู้ชายที่ชื่อคิมแจจุง ลูกค้าคนแรกของผม









      ผมเปิดร้านที่ย่านการค้านี้มาครึ่งปีแล้ว เดือนแรกเป็นเรื่องของความลำบากเลือด
      ตาแทบกระเด็นครับ แต่พอเจอกลยุทธ์ส่งเสริมการขายของมิกกี้ ที่จนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้
      ไม่เข้าใจอยู่ดีว่า รูปผมกลายไปเป็นนางกวักได้อย่างไรก็ตาม มันก็กลับตาลปัตร
      พลิกคว่ำคะมำหงายในอาทิตย์เดียว


      หลังจากการติดรูปไปไม่ถึงสามวัน มีลูกค้าเข้าร้านผมประมาณครึ่งร้อย! คือถ้ารู้อย่างนี้
      ผมติดรูปตัวเองแม่งให้มันทั่วร้านตั้งแต่วันแรกแล้ว จะได้ไม่เสียเวลามานั่งตบยุงเปล่าๆ
      ปลี้ๆ อยู่เดือนหนึ่ง


      ลูกค้าเยอะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ นอกจากจะหมายถึงกิจการรุ่งเรือง การเงินทองเฟื่องฟูไม่
      ฟ่อบแฟ่บย่อบแย่บเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ผมจะได้มีข้ออ้างที่พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
      กับคุณนายแม่ว่า งานยุ่งจนไม่สามารถไปดูโรงงานผลิตลิตเติ้ลชางมินกับท่านได้


      …แค่นี้ก็นอนตีพุงสบายแฮแล้วล่ะครับ


      อ้อ พอพูดถึงเรื่องลูกค้าล้นหลาม จุนซูแจ้งให้ผมทราบว่าจำนวนลูกค้าผู้มีอุปการคุณ
      ของร้าน ที่จดใส่ในบัญชีเอาไว้ ในตอนนี้มีจำนวนเกือบ สองร้อยคนแล้ว


      ไม่น้อยนะครับ สำหรับร้านที่เพิ่งเปิดใหม่อย่างนี้ ผมนะยิ้มแก้มปริทีเดียวตอนได้ยินคำ
      รายงานสรุปรวบยอดของจุนซู จนเผลอตกปากรับคำไปว่าถ้าร้านเราทำยอดลูกค้าทั้งปี
      ได้เกินห้าร้อยคน ผมจะให้โบนัสเป็นตั๋วเครื่องบินพร้อมบัตรชมพรีเมียร์ลีกรอบชิงชนะ
      เลิศที่อังกฤษแก่จุนซู


      ในบรรดาลูกค้าทั้งหมดเกือบสองร้อย ผมคงไม่กล้าที่จะบอกว่าจำหน้าได้หมดทุกคน
      หรอกครับ


      อืมมม อันที่จริงนอกจากคุณคิมแจจุงแล้ว ก็คงจะต้องสารภาพแต่โดยดีว่าผมจำหน้า
      ใคร ไม่ได้เลยสักคนเดียว


      แหม อย่าเพิ่งดูถูกหัวใจบริการของผมไป ผมจำลูกค้าของผมได้ทุกคนครับ ขอให้เขาแค่
      อ้าปากให้ผมดูเหอะ รับรองว่าขานชื่อเสียงเรียงนาม กระทั่งอายุได้ถูกต้องด้วยเอ้า
      จำได้กระทั่งโรคประจำตัวด้วยนะเออ


        หือ? ฮ่า ฮ่า ผมลืมเล่าอีกแล้วใช่ไหม เรื่องสำคัญเสียด้วยสิ ผมชิมชางมินเป็นหมอฟัน
      ครับ อาชีพที่เขาบอกว่า ด้วยจรรยาบรรณห้ามเปิดเผยหน้าตานั่นล่ะ
      ส่วนร้านผม...ก็คลินิกทำฟันไงครับ มีชื่อหรูหราไฮโซเป็นภาษาฝรั่งเศสออกเสียงยากว่า
      Sourire ที่แปลว่ารอยยิ้ม


      ไม่ต้องสงสัยว่าใครตั้งชื่อให้ ทั้งร้าน ทั้งชื่อร้าน รสนิยมการแต่งร้านประดุจพระราชวัง
      แวร์ซายน์แห่งนี้ มีเพียงคนเดียวละครับ ผ.บ.ส.ส.ผู้บัญชาการสูงสุดของบ้าน
      คุณนายแม่ของผมเอง


      กลับมาถึงเรื่องคุณคิมแจจุง นอกจากเรื่องความประทับใจแรกพบกับรอยยิ้มหวานบาด
      ตาชวนให้หัวใจเต้นแปลกๆ แล้ว ยังมีสีผมสุดแสนเจ็บปวดสีทองอร่ามเป็นประกายวิบวับ
      เหมือนครอบฟันทองที่ทำให้ลืมไม่ลง และนอกจากนั้นก็เห็นจะด้วยการที่ผมได้เป็นคนเปิดซิงเขาครับ!


      เปิดซิงจริงๆ นะเออ คุณๆ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ด้วยจรรยาบรรณของทันตแพทย์
      ผมย่อมไม่มีทางโกหกท่านผู้อ่านแน่นอน ก็ลองดูประโยคที่เขาคุยกับผมสิครับ
      จะนั่งอ่าน นอนอ่านยังไง ก็รับรองได้ว่า มันเป็นครั้งแรกชัดๆ


      “ผมยังไม่เคยเลย คุณหมอเบาๆ หน่อยนะฮะ”


      “คุณแจจุงยังไม่เคยทำฟันสักครั้งในชีวิตเลยหรือครับ” ผมถามเสียงนุ่ม ตามมาตรฐาน
      หมอฟันที่ดี


      “อ่า ใช่ฮะ” ฟังคำตอบนั่นแล้ว ก็ถือว่าเป็นงานช้างสำหรับผมทีเดียว ผู้ชายตัวไม่เล็ก
      ที่ไม่เคยทำฟันมาก่อนเลยในชีวิต และดูเปอร์เซ็นต์ความกลัวจะพุ่งสูงทะลุปรอท
      ขึ้นไปด้วย


      ผมควรจะทำยังไงดี


      “ถ้าอย่างนั้น วันนี้แค่ตรวจฟันเฉยๆ ดีไหมครับ แล้วก็ค่อยนัดมาทำฟันกันวันหลัง
      คุณจะได้ไม่กลัวมากนัก”


      “แล้วที่นัดทำฟันวันหลัง ผมจะได้เจอคุณหมออีกไหมฮะ”


      ...น่าสงสารจริง ผมมองท่าช้อนตาขึ้นมามองจากเก้าอี้ทำฟันของเขาด้วยความเห็นใจ
      เขาคงกลัวการทำฟันมากแล้วก็เลยปักใจเชื่อว่า หมอที่คุยด้วยคนแรกน่าจะสร้างความ
      สบายใจให้กับเขาได้มากที่สุด ผมเลยปลดแมสก์ที่คลุมปากกับจมูกออก แล้วก็เอื้อมมือ
      ที่ใส่ถุงมือตบเบาๆ ที่บ่าของเขา


      ครับ มันเป็นหลักจิตวิทยาเบื้องต้นในการพูดคุยกับผู้ป่วยที่มีอาการกลัวอย่างรุนแรง
      การเห็นหน้าค่าตาแล้วได้จ้องตากันตรงๆ ระหว่างผู้ป่วยกับหมอ มีผลวิจัยจากวารสาร
      ทางการแพทย์แล้วว่า จะช่วยลดความกลัวของผู้ป่วยลง และเพิ่มความร่วมมือในการ
      ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ได้ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ ที่ระดับความ
      เชื่อมั่น 95% เลยนะครับ


      “ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณแจจุงจะได้เจอหมอทุกครั้งแน่นอน” ผมยืนยันหนักแน่น


      “คุณหมอสัญญาแล้วนะฮะ”


      อา...ดูท่าหนุ่มน้อยคนนี้จะยังกลัวเสียเหลือเกิน ผมก็เลยยิ้มตอบให้กำลังใจเขาจนตาหยี
      แล้วก็รับปากขันแข็งว่า “ครับ”


      อืม รอยยิ้มอาจจะไม่ช่วยอะไรเลยสินะ ผมได้แต่คิดอย่างเศร้าสร้อย เพราะดูเหมือนคุณ
      แจจุงคงจะกลัวจนช็อคไปแล้วกระมัง เขาก็เลยนอนจ้องหน้าผมนิ่ง ไม่ยอมกระดุกกระดิก


      “คุณแจจุงต้องอ้าปากครับ ไม่อย่างนั้นหมอตรวจฟันไม่ได้นะ เอ้าอ้าปากครับ”


      เขายอมอ้าปากในที่สุด แต่พอผมหยิบ explorer ที่เป็นเหล็กแหลมๆ ปลายงอๆ สำหรับ
      ใช้ตรวจฟันขึ้นมา พ่อหนุ่มที่ดูจะเชื่อฟังมาแต่แรกก็เริ่มงอแง


      “มันแหลมอะคุณหมอ ต้องเจ็บแน่เลย”


      “ไม่หรอกฮะ เดี๋ยวหมอทดสอบให้ดู หมอก็จะตรวจฟันเหมือนกับที่ทำกับเล็บ
      ของคุณแจจุง” ผมขอให้เขายื่นมือมา จากนั้นก็ประคองมืออุ่นๆ ไว้กับมือข้างหนึ่งของ
      ผม แล้วก็ลากปลายแหลมของเครื่องมือลงบนเล็บที่เจียนสวยของเขา


      “หมอจะทำอย่างนี้ละครับ ไม่เจ็บหรอก”


      “ถ้าอย่างนั้นคุณหมอจับมือผมเอาไว้อย่างนี้ได้ไหม” เขาเขย่ามือของผม แล้วพลิกมือ
      ข้างที่ถูกใช้เป็นหุ่นสาธิตการใช้ explorer เมื่อครู่ มากุมมือของผมแน่น


      “นะฮะ”


      เห็นดวงตาโตๆ ที่มองมาอย่างอ้อนวอน ผมก็ปฏิเสธคำขอร้องของคนขี้กลัวไม่ลงจริงๆ
      เลยต้องขอให้เขาช่วยถือกระจกกลมบานใหญ่แทน mouth mirror ที่ผมมักจะจับในมือ
      อีกข้างคู่กับ explorer แล้วก็ชวนให้เขาส่องดูในปากไปพร้อมๆ กันกับผม


      ผลเป็นที่น่าดีใจมากทีเดียว คนที่ไม่เคยทำฟันมาก่อนในชีวิต กลับมีฟันผุรูเล็กๆ แค่หนึ่ง
      ซี่ แล้วก็มีหินปูนแค่ระดับเล็กน้อย


      ผมชมว่าเขาแปรงฟันได้ดีมากและบอกว่า ทั้งหมดสามารถทำให้เสร็จได้ในการนัดแค่
      หนึ่งครั้ง แต่ผู้ป่วยขี้กลัวของผมกลับทำหน้ายู่ยี่เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง แล้ว
      บอกว่าเอาไว้แยกนัด ทำเป็นสองครั้งจะดีกว่า








      วันนัดครั้งแรก คุณแจจุงมาในสภาพสะลึมสะลือ ตาแดงก่ำใกล้จะปิด เหมือนกับอดนอน
      ทำงานอะไรมาสักอย่าง แต่พอผมขออนุญาตคลุมหน้าให้เขาก่อนการทำฟัน หวังว่าเขา
      จะได้หลับสบาย แล้วก็ไม่ต้องกังวลกับอุปกรณ์ทางทันตกรรมหน้าตาประหลาดมากนัก
      พ่อหนุ่มผมทองก็ปฏิเสธลูกเดียว


      “ผมไม่คลุมหน้าฮะ ไม่เอา คลุมผ้าก็มองไม่เห็นสิ”


      “ใช่ครับ คุณแจจุงจะได้ไม่กลัวยังไงละครับ” ผมพยายามปลอบอย่างใจเย็น แต่ไม่ว่า
      อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณแจจุงยืนกรานว่าไม่เอาผ้าคลุมหน้า ผมก็ต้องตามใจผู้ป่วย


      ครับ กฎข้อแรกของการเปิดคลินิกส่วนตัว ผู้ป่วยคือพระเจ้า


      “แล้วคุณหมอจะกุมมือผมเหมือนตอนที่ตรวจฟันได้ไหมฮะ” มาอีกแล้ว แววตาเหมือน
      ลูกหมาแบบเดิม ผมพยายามทำใจแข็ง จะส่ายศีรษะปฏิเสธ แต่ไม่ทันไรคนที่นอนอยู่
      บนเตียงทำฟันก็บอกผมเสียงอ่อนว่า


      “นะฮะ ผมจะได้บีบมือคุณหมอ เวลาที่ผมเจ็บ คุณหมอจะได้เบามือไงฮะ”


      เป็นเสียงที่หวานขนาดทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายได้เลย แล้วอย่างนี้ผมจะต้านทานไหว
      หรือครับ?


      แถมเมื่อมาคิดดูดีๆ เป็นแค่ฟันล่าง ผุนิดเดียวด้วย กรอฟันห้าวินาทีก็เสร็จ หลับตากรอยัง
      ได้ แล้วกฎข้อสองของการเปิดคลินิกส่วนตัว ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ผู้ป่วยถูกเสมอ


      ดังนั้น...


      “ครับ แต่คุณแจจุงต้องช่วยหมอ ด้วยการอ้าปากกว้างๆ นะครับ”


      เขายิ้มใส่ตาผม หวานเจี๊ยบจนหัวใจจะวายตาย แล้วจากนั้นก็อ้าปากกว้างสุดชีวิต
      เหมือนฮิปโปโปเตมัสอ้างับลูกแตงโมอาหารโปรดอย่างไรอย่างนั้น


      และเราก็เล่นเกมจ้องตากันตลอดเวลาที่ผมอุดฟันให้เขา








      วันที่นัดครั้งที่สอง ห่างจากการนัดครั้งแรกหนึ่งอาทิตย์พอดิบพอดี วันนี้คุณแจจุงมีนัด
      ขูดหินปูนกับผม


      สำหรับหมอฟันแล้ว เมื่อต้องเจอกับคนที่กลัวการทำฟันอย่างหนัก ต้องขอบอกเลยว่า
      งานขูดหินปูนยากยิ่งกว่าการอุดฟันหลายเท่าครับ ระดับความโหดหินยิ่งใหญ่แบบ
      ปลาวาฬชุบแป้งทอดทีเดียว


      คุณๆ น่าจะเคยขูดหินปูนกันมาบ้างแล้วใช่ไหม ที่หมอเขาต้องเอาเครื่องมือเสียงดังๆ
      มีน้ำพ่นกระจายเปียกปอน ล้วงควักไปทั่วปาก ให้เลือดกระฉูดเล่นน่ะครับ ผมหมายถึง
      อันนั้นล่ะ และไม่ว่ายังไงก็ตาม รายการนี้ผมให้คุณแจจุงกุมมือไม่ได้แน่
      แล้วไม่คลุมหน้าเขาก็ไม่ได้ด้วย


      “ไม่ได้อย่างเด็ดขาดครับ” ผมยืนยันต่อคำขอร้องที่น่าสงสารของเขาอย่างหนักแน่น
      ไม่มีทางจริงๆ ที่จะยอมเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยกับความกลัว เกิดผมทำเครื่องมือขูด
      พลาดทิ่มลิ้นเขาเข้า เลือดไม่ท่วมหรือ?


       “ถ้าอย่างนั้น ให้ผมเอามือจับขาคุณหมอไว้ได้ไหม”


      เอ่อ...ผมหันไปมองตาเรียวๆ ของจุนซูที่ยืนถือเครื่องดูดน้ำลายอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียง
      โทรจิตจากฝ่ายนั้นร้องถามว่า บีสองคิดเหมือนกันกับบีหนึ่งไหมฮะ แล้วก็บีสองตอบไปว่า จะบ้าเรอะ!


      ผมถลึงตาใส่ผู้ช่วยให้รีบปิดปากให้สนิท คนเขากลัวต่างหาก กลัวอย่างหนัก เข้าใจไหม คิดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนั้น มันผิดจรรยาบรรณวิชาชีพนะ


       “คุณแจจุงจะเมื่อยนะครับ” ถึงเขาจะนอนในระดับเอวผม แล้วเอาหัวสีทองอร่ามทิ่ม
      บริเวณซิกซ์แพ็คของผมอยู่ก็ตามที แต่การเอื้อมมือไปเหนือหัวแล้วจับต้นขาผมไว้
      มันก็เสียว เฮ้ย! ไม่ใช่ ...มันก็ทำให้เขาไม่สบายตัวอยู่ดี


      นี่ผมเตือนด้วยความปรารถนาดีล้วนๆ นะครับ


      “นะฮะ ผมจะได้บีบขาคุณหมอ เวลาที่ผมเจ็บ คุณหมอจะได้เบามือไงฮะ”


      ประโยคคุ้นไหมครับ คุ้นหูมาก แต่มันฟังแล้วจั๊กกะจี้ยังไงไม่รู้ รายการนี้ผมต้องคิดหนัก
      หน่อยละครับ


      จับขา...เอ่อ ต้นขาด้วย ปกติเขาทำฟันกันอย่างนี้ไหมครับ


      “นะฮะ”


      ยิ้มหวานเจี๊ยบเหมือนเคย กะพริบตาปริบๆ ใส่ด้วย ผมเลยรู้สึกเหมือนกับถูกร่ายมนตร์
      สะกดเข้าใส่ เผลอพยักหน้ารับไปโดยไม่รู้ตัว


      ครับ มันเป็นไปตามกฎข้อสามของการทำธุรกิจ ของการเปิดคลินิกส่วนตัว ที่ถึงแม้ผู้ป่วย
      จะงี่เง่าและเบาปัญญาแค่ไหนก็ตาม กรุณากลับไปอ่านกฎข้อหนึ่งและสองซ้ำ


      มือที่ร้อนผ่าวของเขาก็เลยวางอยู่บนต้นขาผมตลอดเวลาสี่สิบห้านาทีเต็มของการขูด
      หินปูน


      มันเป็นการทำฟันที่อบอุ่นจนร้อนทีเดียว ผมใจหายไม่น้อยที่ต้องบอกกับเขาก่อนจะลา
      กันในวันนั้นว่า “แล้วมาตรวจฟันซ้ำทุก 6 เดือนนะครับ” 


      เขาพยักหน้ารับหงอยๆ


      ...คงจะยังเจ็บมากสินะครับคุณแจจุง ผมเบามือที่สุดแล้วนะ ไม่เป็นไร ไว้ให้ผมแก้ตัว
      อีก 6 เดือนข้างหน้านะครับ









      ยังไม่ทันจะชนอาทิตย์เลย คุณแจจุงก็มายืนดูดจุ๊บปาจุ๊บยิ้มแต้ที่หน้าร้านผม เขามีท่าที
      กระตือรือร้นมาก ในตอนที่บอกกับผมว่า เพื่อนของเขาแก้มบวมโย้เพราะฟันคุด
      เขาก็เลยอยากรู้ว่าตัวเองจะมีฟันคุดบ้างไหมนะ


      “ผมอยากจะเอามันออกก่อนแก้มจะบวมแบบเพื่อนฮะ”


      “เพื่อนผมมีฟันคุดตั้ง 4 ซี่แน่ะ ไว้ถ้าผมมี 4 ซี่อย่างนั้นบ้าง ให้ผมนัดกับคุณหมอ ค่อยๆ
      เอาออกทีละซี่ได้ไหมฮะ ก็อีก 4 ครั้งน่ะ กว่าจะเสร็จ” คุณแจจุงพูดเรื่อยเปื่อยไม่หยุดปาก
      จนผมละนึกขัน นี่ถ้าเขามีฟันคุดมากถึง 4 จริง ผมไม่อยากจะคิดเลยว่า ตอนผ่าฟันคุด
      ออกมันจะอลหม่านขนาดไหน เขาอาจจะอยากได้ยาสลบแบบตื่นขึ้นมาผ่าเสร็จ
      เลยก็ได้ 


      ระหว่างนั้นผมก็เลยพาเขาไปเอ็กซเรย์ฟันเพื่อเช็คฟันคุด คุณแจจุงยังขี้กลัวเหมือนเดิม
      ขนาดห้องที่ใช้เอ็กซเรย์ยังไม่ค่อยจะกล้าเข้าไป


      “คุณหมอจูงมือผมเข้าไปได้ไหมฮะ มันมืดน่ากลัวจัง”


      โถ หนุ่มน้อยของผม ไม่เป็นไรครับ คุณหมอชิมใจดีเสมอ ผมก็เลยให้จุนซูไปเตรียม
      เครื่องเอ็กซเรย์ ส่วนตัวเองก็มาช่วยคุณแจจุงใส่เสื้อตะกั่วกันรังสี แล้วก็ช่วยเขาถอด
      ตุ้มหูเกือบครึ่งโหลออกจากหู จากนั้นก็ไปยืนให้กำลังใจผู้ป่วยในระยะไม่ไกลนัก


      ผลการเอ็กซเรย์บอกว่าคุณแจจุงเป็นคนที่โชคดีมาก ไม่มีฟันคุดสักซี่ในฟิล์มเอ็กซเรย์
      สำหรับคนที่กลัวการทำฟันเป็นชีวิตจิตใจอย่างเขาแล้ว นี่นับว่าเป็นรางวัลใหญ่ยิ่งกว่า
      ถูกล็อตเตอรี่อีกนะครับ ผมเลยไม่รีรอที่จะแจ้งข่าวดีนี้แก่เขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
      และหวังว่าจะได้รอยยิ้มหวานๆ กลับมา


      แต่คุณแจจุงทำหน้าแปลกๆ แล้วก็เดินไหล่ตกออกไปนอกร้าน  


      อืมมม เวลาคนเราดีใจ มักจะมีท่าทีอะไรแปลกๆ แบบนี้กันทุกคนไหมครับ?








      คุณแจจุงหายไปสัปดาห์หนึ่ง แล้วก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับจุ๊บปาจุ๊บรสสตรอเบอร์รี่
      กลิ่นหอมหวานพอๆ กับเสื้อหนาวตัวใหม่สีชมพูจางๆ ของเขา


      พอเห็นหน้าผม ริมฝีปากสีแดงสดก็ผละออกจากอมยิ้มกลมๆ แล้วเปิดยิ้มกว้างตามแบบ
      ฉบับของเจ้าตัว เขาประกาศเสียงดังฟังชัดว่า อยากจะจัดฟันกับผม


      “จัดฟัน?” ผมย้อนถามด้วยน้ำเสียงงงงวย พอๆ กับหน้าตามึนๆ นี่มันเช้าเกินไปไหมครับ
      ไม่ว่าใครสักคนระหว่างหมอกับคนไข้กำลังละเมออยู่หรือเปล่า


      “ก็ฟันคุณแจจุงเรียงสวยอยู่แล้ว จะจัดไปทำไมกันครับ”


      “ก็มันเกนิดนึง” เขาชะโงกหน้ามาใกล้ ใช้เน็คไทผมเป็นหลักยึดแล้วเขย่งตัวจนระดับ
      ความสูงที่ไล่เลี่ยกับคางผม สูงขึ้นมาอีกสักสามนิ้ว จากนั้นก็ชี้ไปที่ฟันล่างของตัวเอง


      “ตรงนี้ฮะ มันบิดนิดนึง แล้วข้างบน มันเหยินนิดหน่อย”


      ครับ นิดหน่อย นิดนึง น้อยหนึ่ง กระจิริดมาก!


      เหอะ ฟันบิดไปจากปกติห้าองศา ถ้าไม่เพ่งจนกระจกแทบจะทะลุแล้วละก็ ไม่มีใครเขา
      เห็นกันหรอกครับ ขนาดหมอฟันอย่างผมยังต้องเพ่งอยู่ตั้งนานกว่าจะรับรู้ได้
      แล้วใครที่ไหนมันจะไปเห็นฟันเขากัน


      ผมก็เลยสวดเรื่องว่าด้วยการจัดฟันอย่างไม่มีเหตุอันควรไปยกหนึ่ง อธิบายข้อดี
      ยกข้อเสียจนเหนื่อย ไม่รู้ว่ามันจะซึมซาบเข้าไปใต้กะโหลกสวยๆ ที่มีผมสีทองอร่าม
      คลุมอยู่ไหม แต่เขาก็นั่งฟังผมตาแป๋วสลับกับเอาอมยิ้มอมเข้าอมออกอยู่นั่น
      อย่างขัดหูขัดตามาก


      มีใครสักคนเคยบอกเขาไหมว่า การอมลูกอมต่อหน้าหมอฟันน่ะ มีความผิดอุกฉกรรจ์
      เท่าเทียมกับฆ่าคนตายเลยนะครับ!


      “อะ หมออยากกินอมยิ้มด้วยเหรอ” ...แน่ะ มีเอียงคอถาม ทำตาแป๋วใส่ด้วย ผมเลย
      บรรจงดีดนิ้วใส่หน้าผากพ่อหนุ่มจุ๊บปาจุ๊บไปหนึ่งเป๊ก แล้วดึงกลุ่มก้อนน้ำตาลกลูโคส
      ที่ไร้ประโยชน์ และเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์สเตร็ปโตคอกคัส
      มิวแทนส์ โยนลงในถังขยะ


      “กินอมยิ้มมากๆ เดี๋ยวก็ฟันผุ ต้องมาอุดฟันหรอก ไม่กลัวหรือไงหา ไปเถอะ ในปากคุณ
      ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แล้วก็เลิกความคิดที่จะจัดฟันด้วย เจอกันใหม่อีก 6 เดือนนะครับ”


      รู้สึกเหมือนผมกำลังถูกอาฆาตแค้นยังไงไม่รู้ สายตาของคุณแจจุงน่ะมองผมแบบโกรธๆ
      ตาขวาง แล้วก็เดินกระฟัดกระเฟียดฮึดฮัดออกจากร้านไป


      เขาโกรธที่ผมแย่งอมยิ้มเขามาอย่างนั้นหรือ?


      “ไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นหมอ ก็โง่ได้นะเนี่ย” จุนซูมองหน้าผม แล้วก็เปรยเสียงหวานปน
      เสียงหัวเราะแหลมๆ ชวนให้หลอนเป็นที่สุดออกมาดังๆ


      ผมโง่ตรงไหน ด็อกเตอร์ชิมน่ะ วัดไอคิวครั้งสุดท้ายได้ค่าสูงตั้ง 142 นะครับ


      สรุปคุณแจจุงโกรธอะไรผมน่ะ?









      คุณแจจุงหายไปนานเกือบสามอาทิตย์ ช่วงเวลานั้นมีคนไข้ขาจรเข้ามามากก็จริง
      กิจการร้านของผมรุ่งเรืองก็จริง แต่มันก็อดโหวงๆ ในใจแบบแปลกๆ ไม่ได้


      ยอมรับว่าผมคิดถึงน้ำเสียงอ้อนๆ ตาโตๆ ที่มีแววฉ่ำน้ำตาแบบคนขี้กลัวขึ้นมานิดๆ
      แล้วก็อดเสียดายหน่อยไม่ได้ผมน่าจะเสนอโปรแกรมเคลือบฟลูออไรด์ เคลือบฟัน
      หรือฟอกฟันขาวให้เขานะ เราจะได้เจอกันหลายครั้งกว่านี้อีกสักหน่อย


      เฮ้อ ผมพลาดไปแล้วจริงๆ นั่นล่ะ หรือว่าผมควรจะโทรศัพท์ไปเรียกเขามาตรวจสุขภาพ
      ฟันให้เร็วขึ้นนะ?


      ไม่ได้ ไม่เหมาะ ผมพลิกดูตารางนัดของเขาแล้วถอนใจ ยังไม่ครบเดือนเลย คนที่ถูกผม
      เรียกมาตรวจเขาจะคิดยังไง ไม่มองว่าผมเป็นหมอหน้าเงินที่หวังจะเอาค่าตรวจเปล่าๆ
      ปลี้ๆ โดยไม่จำเป็นหรือ


      “คุณหมอฮะ คุณหมอฮะ”


      โอ๊ะ! นี่ผมตาฝาดไปหรือเปล่า ผมมองคนที่อยู่ในเสื้อคลุมฮู้ดสีเหลืองสดใส สะท้อนรับ
      กับผมสีทองสว่างจ้านั่นอย่างงงๆ


      ยังไม่ถึงเวลานัดเลย คุณแจจุงมาทำไมกันเนี่ย?


      “ผมสงสัยว่าตัวเองจะมีฟันผุฮะ” เขายิ้มกว้างตาหยีให้ผม แล้วก็ดึงจุ๊บปาจุ๊บสองอันที่เพิ่ง
      จะอมอยู่เมื่อครู่ออกไปไขว้ไว้ข้างหลัง


      “เสียวฟันหรือว่าปวดฟันหรือครับ” ผมถามอย่างมืออาชีพ แล้วก็จูงมือเขาไปนั่งที่เก้าอี้
      ทำฟัน


      คุณแจจุงทำท่าคิดนิดหนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะหวือ จนผมสีสว่างสะบัดพรึ่บพรั่บ “ผมอมลูก
      อมเยอะมากเลยฮะสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ ก็เลยคิดว่าฟันน่าจะผุเพิ่มอีกสักซี่ได้แล้ว”


      ประโยคบอกเล่านั่นฟังแล้วทะแม่งๆ ไหมครับ


      บอกแล้วว่าผมไม่โง่หรอก แล้วจุนซูก็ยิ่งห่างไกลจากคำว่าโง่มากด้วย ผู้ช่วยที่เปี่ยมไป
      ด้วยความสามารถและประสิทธิภาพของผม ก็เลยถอดถุงมือออก แขวนที่ดูดน้ำลายไว้
      กับห่วงเกี่ยวของมัน ลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเก้าอี้ทำฟัน เดินไปเลื่อนประตูห้องทำฟันเปิด
      ออก จ้องหน้าผม เปล่งเสียงหัวเราะแบบหลอนๆ แล้วจากนั้นก็เดินลอยชายออกไป
      จากห้อง แต่ก็ไม่ลืมดึงประตูปิดกลับแบบเดิมนะครับ


      บอกแล้วว่าคิมจุนซูฉลาดและช่างรู้ใจ อย่างสมควรที่จะได้โบนัสปลายปีนี้สักสิบเดือน
      ยิ่งยวด


      “คุณแจจุงบอกว่าอมลูกอมเยอะ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเลยหรือครับ” ผมแตะปุ่มปรับ
      ตำแหน่งเก้าอี้ทำฟัน จากที่เอนนอนให้กลับเป็นท่านั่งตรง ถอดถุงมือออกในขณะที่จ้อง
      หน้าผู้ป่วยคนสำคัญของผมไปด้วย


      “ใช่ครับ อมอมยิ้มตั้งวันละถุงน่ะ” เขาตอบมาด้วยรอยยิ้มหวานบนเรียวปากแดงๆ และ
      ดวงตากลมโต


      “รสโคล่าหรือเปล่า” ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ จนได้กลิ่นหอมของลูกอมระเหยปนมากับ
      ลมหายใจของเขา


      “อยากชิมไหมละฮะ อร่อยมากเลย” แจจุงย้อนถามผมกลับด้วยน้ำเสียงใสซื่อ แลบลิ้น
      เล็กๆ ออกมาไล้เลียริมฝีปากชุ่มชื้น และแน่นอนครับด้วยระดับไอคิว 142 ของผม ทำให้
      การแปลผลในเวลาไม่ถึง 0.0005 วินาที ประมวลได้ว่าคำถามนี้แปลว่าอะไร


      ผมปลดแมสก์ออก แล้วก็จัดแจงทาบริมฝีปากของตัวเองกับริมฝีปากสีแดงสดที่ล่อตา
      ล่อใจตรงหน้าทันที กดเน้นกับเนื้อนิ่มๆ นั้นแล้วก็จัดแจงสำรวจสภาพภายในช่องปาก
      ด้วยฝีมือระดับผู้เชี่ยวชาญ หยอกล้อไล่กับลิ้นเล็กๆ นั้นอย่างสนุก กวาดไล่ตามฟันแต่ละ
      ซี่ ไรฟัน เหงือก เพดานปาก แล้วจากนั้นก็พันพัวกับลิ้นร้อนผ่าวอีกครั้ง


      รสจูบของแจจุงหวานซ่าเหมือนกับลูกอมรสโคล่าที่เขาอมไว้เมื่อสักครู่ หวานหอมเสีย
      จนไม่อยากที่จะผละห่างไปเลยเมื่อตอนที่ต้องหอบหายใจ


      ผมยังบดเบียดริมฝีปากของเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะถอยห่างออกมา เมื่อรู้สึกว่าจังหวะการ
      เต้นของหัวใจผู้ป่วย ที่แนบกับอกผมเริ่มจะเข้าสู่ภาวะผิดปกติ เกิดหัวใจเต้นเร็วแบบ
      tachycardia กะทันหัน


      “ไม่มีฟันผุสักซี่ล่ะ” ผมกระซิบบอกกับเขาที่ข้างแก้มนิ่ม แล้วก็ฉวยโอกาสประทับจูบแรงๆ
      ลงกับเนื้อหอมๆ นั้นอย่างมันเขี้ยว


      แจจุงหัวเราะคิก ขยับตัวจากเก้าอี้แล้วก็เลื้อยมือมาโอบรอบคอผมเอาไว้ แนบหน้าเข้า
      กับซอกคอผมแล้วถูไถไปมาเหมือนกับแมวเหมียวขนนุ่มนิ่ม


      “ก็ถ้าคุณหมอชางมินยอมตรวจแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรก ผมก็ไม่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้
      หรอกนะฮะ ความรู้สึกช้าชะมัดเลยคุณหมอเนี่ย”


      โอเค ผมผิดอีกแล้วครับ ผิดที่ดูแผนของแจจุงไม่ออก แล้วก็ผิดด้วยที่บังอาจไปดูถูก
      ลูกอมหวานๆ ว่าเป็นแค่ก้อนกลูโคสไร้คุณค่า เป็นแค่แหล่งอาหารชั้นดีสำหรับ
      สเตร็ปโตคอกคัส มิวแทนส์


      แหม ก็ไม่รู้นี่ครับว่า การลิ้มรสของลูกอมผ่านทางริมฝีปากของคนน่ารักน่ะ มันหวาน
      ขนาดไหน


      “ครั้งหน้าขอเป็นสตรอเบอร์รี่นะครับแจจุง ผมว่ามันต้องหวานแล้วก็หอมกว่านี้แน่ๆ”


      อย่าไปสนใจเลยครับว่าแจจุงตอบว่าอย่างไร เพราะยังไงตอนนี้เขาก็ตอบอะไรไม่ได้อีกแล้ว...ก็ปากผมน่ะจูบเขาอยู่นี่ครับ



      END
       








      Talk
      อย่าคิดอะไรมากกับเรื่องนี้ เขียนด้วยความอยากเขียนฟิคท่ามกลางงานกองท่วมหัว
      มันเลยออกมาป่วงๆ แบบไม่ครบคนและขาดๆ เกินๆ ด้วยอะไรสักอย่าง
      เหอๆ อย่าถามยุนโฮไปไหน อิชั้นตอบให้ว่าไปลาสเวกัส ฮ่า ฮ่า
      หาบทให้น้องไม่ได้ มันแค่ช็อตฟิคอย่าซีเรียสไปค่ะ อ่านเอาฮาน่อ
      และเมื่ออ่านเรื่องนี้จบ ไม่ต้องสงสัยนะคะ ว่าปาล์มประกอบสัมมาอาชีพอะไร ฮิยะยะ
      บับบายค่า

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×